บทที่ 2 ทัศนศาสตร์เชิงเรขาคณิต · 2.2...
TRANSCRIPT
บทที ่2บทที่ 2 ทัศนศาสตร์เชิงเรขาคณิต
Geometrical Optics
การอธิบายสมบัติทางแสงโดยกำหนดว่า แสงเดินทางเป็นเส้นตรงและเป็นรังสี ดังนั้นแสง จึงไม่สามารถเลี้ยวเบนหรือกระจายรอบๆ วัตถุทึบแสงซึ่งขวางทางเดินแสงไม่ได้และถ้าพิจารณาโดยการเปรียบเทียบขนาดของความยาวคลื่นกับมิติของทัศนูปกรณ์จะอธิบายเกี ่ยวกับแสงได้เป็น สองลักษณะคือ ถ้าแสงมีความยาวคลื่นสั้นกว่ามิติของทัศนูปกรณ ์ จะเรียกว่า แสงเชิงเรขาคณิต (Geometrical Optics ) และถ้าแสงมีความยาวคลื่นมากกว่ามิติของทัศนูปกรณ์ จะเรียกว่า แสงเชิงกายภาพ (physical optics ) ทั้งนี้ในอธิบายถึงแสงเชิงเรขาคณิตจะเป็นการอธิบายเกี่ยวกับการสะท้อนกลับ(reflection) และการหักเห ( refraction)
2.1 กฎการสะท้อนกลับของแสง
เมื่อแสงเดินทางจากตัวกลางหนึ่งไปยังอีกตัวกลางหนึ่งที่บริเวณรอยต่อของตัวกลางทั้งสอง
และแสงบางส่วนจะทะลุผ่านเข้าไปในอีกตัวกลางหนึ่งและเกิดการหักเหในกลางนั้น นอกจากจะมี
แสงบางส่วนสะท้อนกลับเข้ามาตัวกลางเดิม ซึ่งรังสี(แสง)ที่สะท้อนกลับจะอยู่ในระนาบเดียวกับรังสี
ตกกระทบหรือเรียกได้ว่ารังสีสะท้อนและรังสีตกกระทบอยู่ในตัวกลางเดียวกันและมุมสะท้อนของ
รังสี θr จะขนาดเท่ากับมุมรังสีตกกระทบ θi และเส้นปกติ (Normal Line) คือเส้นที่ตั้งฉากกับผิว
ของตัวกลาง ดังภาพที่ 2.1
ภาพที่ 2.1 เส้นปกติ รังสีตกกระทบ รังสีสะท้อน รังสีหักเห กฎการสะท้อนและกฎการหักเห
9
อาจารย ์ดร.ชีวะ ทัศนา ภาควิชาฟิสิกส ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี 2560
2.2 การหักเหของแสง
เมื่อแสงเดินทางจากตัวกลางหนึ่งไปยังอีกตัวกลางหนึ่งที่บริเวณรอยต่อของตัวกลางทั้งสอง
คลื่นแสงบางส่วนจะทะลุผ่านเข้าไปในอีกตัวกลางหนึ่งนั้นจะเบนไปจากแนวเดิม (เบนจากแนวของรังสีตกกระทบ) ทั้งนี้การหักเหจะขึ้นอยู่กับค่าดรรชนีหักเห เป็นไปตามกฎการหักเหของสเนลส์
ni sinθi = nr sinθr (2.1 )
การหักเหแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
1) เบนออกจากแนวเส้นปกต ิ เกิดจาการที่แสงเดินทางผ่านจากตัวกลางที่มีดัชนีมากเกินไปยัง
ตัวกลางที่มีค่าดรรชนีหักเหน้อย
2) เบนเข้าหาแนวเส้นปกติ เกิดจากการที่แสงเดินทางผ่านจากตัวกลางทีมีดัชนีน้อยไปยัง
ตัวกลางที่มีค่าดัชนีมาก
2.3 หลักของฮอยเกนส์
ปีคริตศักราช 1678 คริสเตียน ฮอยเกนส์ ( Christiaan Huygens ; 1629-1695) นักฟิสิกส์
ชาวเนเธอร์แลนด์ ได้อธิบายเกี่ยวกับคลื่นแสงว่า จุดใด ๆ บนหน้าคลื่นจะเป็นแหล่งกำเนิดคลื่น
ทรงกลมที่มีอัตราเร็วและรูปร่างเหมือนกับแหล่งกำเนิดเดิม ถ้าลากเส้นเชือกแต่ละหน้าคลื่นใหม่จะได้
หน้าคลื่นที่เหมือนหน้าคลื่นเดิม ดังภาพที่ 2.2
(ก) (ข)ภาพที ่2.2 หลักของฮอยเกนส์เมื่อหน้าคลื่นเป็น (ก) คลื่นระนาบ (ข)คลื่นวงกลม
10
อาจารย ์ดร.ชีวะ ทัศนา ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี 2560
1 กฎการสะท้อนตามหลักของฮอยเกนส์การตกกระทบของรังสีตกกระทบ AD BE และ CF ทำมุม θi กับเส้นปกติ PD ดังแสดง
ในภาพที ่2.3 จะเห็นว่า หน้าคลื่นเป็นคลื่นระนาบ ABC และจุด A B และ C เคลื่อนที่มาถึงรอยต่อ
XY ไม่พร้อมกัน เมื่อสร้างหน้าคลื่นใหม่โดยพิจารณาว่าไม่มีรอยต่อ XY แล้วตามหลักของฮอยเกนส์
แล้วเมื่อรังส ี CF เคลื่อนที่มาถึงรอยต่อ XY ที่จุด I จะได้หน้าคลื่นใหม่ (หน้าคลื่น GHI) ขึ้น
แต่เนื่องจากเกิดการสะท้อนที่บริเวณรอยต่อในช่วงเวลาที่รังสี CF เคลื่อนที่จากจุด F ไปยังจุด I และ
รังสี BE เคลื่อนที่จากจุด E ไปยังจุด J โดยมีระยะทางเท่ากับ JH (JH คือระยะจากจุด J ถึงจุด H )
หลังจากนั้นจะเกิดการสะท้อนที่บริเวณรอยต่อ XY ที่จุด J ซึ่งเราจะวาดหน้าคลื่นใหม่โดยรัศมี
เท่ากับ JH จะได้รังสีสะท้อนรังสี JN
ในทำนองเดียวกันเราจะวาดหน้าคลื่นที่มีรัศมีเท่ากับ DG (DG คือระยะจากจุด D ถึงจุด G)
โดยมีจุด D ของรอยต่อ XY เป็นจุดศูนย์กลาง เราจะได้รังสีสะท้อน DL (DM) และถ้าลากเส้นเชื่อม
จุดบนหน้าคลื่นสะท้อน (M N และ I) แล้วจะได ้หน้าคลื่นใหม่ KI ทั้งนี้มุมสะท้อน θr ของหน้าคลื่น
สะท้อน KI จะมีขนาดเท่ากับ มุมตกกระทบ θi ของหน้าคลื่นตกกระทบ ABC ดังภาพที ่ 2.3
ภาพที่ 2.3 การสร้างหน้าคลื่นสะท้อน หลักของฮอยเกนส์
11
อาจารย ์ดร.ชีวะ ทัศนา ภาควิชาฟิสิกส ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี 2560
2 กฎการหักเหตามหลักของฮอยเกนส์ถ้าแสงเดินทางจากตัวกลางที่มีดัชนี ni คลื่นแสงจะเคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็ว vi = c ni ไปยัง
อีกตัวกลางหนึ่งที่มีดรรชนีหักเห nt แล้วแสงจะเคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็ว vt = c nt เมื่อ c คืออัตราเร็ว
ของแสงในสุญญากาศ จากภาพที่ 3.4 เราจะเห็นว่า จุด D Eและ F บนหน้าคลื่นตกกระทบเคลื่อนที่มาถึงรอยต่อ XY ที่จุด D J และ I ในเวลาที่แตกต่างกัน ถ้าไม่มีรอยต่อ XY (ไม่มีผิวหักเห) หน้าคลื่นที่จุด F จะใช้เวลา t ในการเคลื่อนที่มาถึงจุด I แต่รังส ี AD เคลื่อนที่เข้ามารอยต่อ XY เข้าไปใน
ตัวกลางที่มีดรรชนีหักเห nt โดยมีอัตราเร็วจะลดลง ดังนั้นระยะ DG จะเท่ากับ vit เมื่อพิจารณา
รอยต่อจะพบว่ามีการหักเหของแสงเกิดขึ้น รังสี AD จะเคลื่อนที่ข้ามรอยต่อด้วยอัตราเร็ว vt ใช้เวลา
t ในการเคลื่อนที่จากจุด D ไปยังจุด M ดังนั้นระยะ DM จึงหาได้จาก vtt จากเงื่อนไข
DM = vtt และ DG = vit จะได้DM = vt (DG vi ) = vtviDG = c nt
c niDG
ดังนั้นจะได ้
DM = nintDG (2.2)
ภาพที่ 3.4 พบว่ารังส ีDM ทำมุม θt กับเส้นปกต ิPD และรังส ี DG อยู่ในแนวกับรังสี AD
ดังนั้นรังสี DG จึงทำมุม θi กับเส้นปกติ PD เมื่อใช้ความสัมพันธ์ทางเรขาคณิตจะได้สมการ
sinθt = nint
sinθi เป็นไปตามกฎของสเนล
ni sinθi = nt sinθt (2.3)
ภาพที ่2.4 การสร้างหน้าคลื่นหักเหตามหลักของฮอยเกนส์
12
อาจารย ์ดร.ชีวะ ทัศนา ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี 2560
2.4 หลักของเฟอร์แมต
1 กฎการสะท้อนตามหลักของฮีโรหลักของฮีโร (Hero ’s principle) กล่าวว่า เมื่อแสงเคลื่อนที่ระหว่างจุดสองจุดใดๆ
แสงจะเลือกเคลื่อนที่ไปในเส้นทางที่สั้นที่สุด พิจารณาภาพที ่ 3.5 เมื่อแสงเคลื่อนที่จากจุด A ไปยังจุด B ด้วยการสะท้อนจากผิวระนาบ จะเห็นว่ามีเส้นทางที่แสงจะเคลื่อนที่ไป 3 เส้นทาง คือเส้นทาง ACB ADB และ AEB
พิจารณาเส้นทาง ACB สร้างจุด ′A และบนเส้นตั้งฉาก AO โดยให้ระยะ O ′A = AO
ดังนั้นจะได ้ ′A C = AC และ ′A E = AE เมื่อแสงเคลื่อนที่จากจุด A ไปยังจุด B โดยผ่าน
จุด C จะมีระยะทางเท่ากับแสงที่เดินจากจุด ′A ไปยัง B ตามเส้นทาง ′A DB ดังนั้น เส้นทาง
ADB จึงเป็นเส้นทางที่ถูกต้องตามหลักของฮีโร และจะได้ว่ามุมของรังสีสะท้อน θr (รังส ี DB)
มีขนาดเท่ากับมุมของรังสีตกกระทบ θi (รังส ีAD)
ภาพที่ 2.5 การพิสูจน์กฎการสะท้อนจากหลักของฮีโร
2. กฎหักเหตามหลักของเฟอร์แมตเฟอร์แมต (Fermate) ได้นำเอาหลักของฮีโรมาขยายต่อเพื่อใช้ในการพิสูจน์กฎหักเหโดย
พิจารณาว่ารังสีของแสงจะเคลื่อนที่ในเส้นทางที่ใช้เวลาน้อยที่สุดจากจุด A ไปยัง B จากภาพที่ 2.6 จะพบว่า เวลาที่แสงเคลื่อนที่ในตัวกลางที่มีดรรชนีหักเหคงตัว ni ด้วยอัตราเร็วคงตัว vi จนได้
ระยะทางเท่ากับ AO คือ tAO = AO vi เมื่อแสงเคลื่อนที่ทะลุผ่านเข้าไปยังตัวกลางที่มี
ดรรชนีหักเห nt แสงจะมีอัตราเร็วเปลี่ยนไปเป็น vt และเวลาที่แสงเคลื่อนที่เป็นระยะทาง OB
เท่ากับ tOB = OB vt ดั้งนั้นเวลาที่น้อยที่สุด t ที่แสงเคลื่อนที่จึงหาได้จาก
t = AOvi
+OBvt
(2.4)
13
อาจารย ์ดร.ชีวะ ทัศนา ภาควิชาฟิสิกส ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี 2560
จากภาพที ่2.5 จะได้
t = a2 + x2
vi+ b2 + (c − x)2
vt (2.5)
หาเวลาที่น้อยที่สุดได้จาก dt dt = 0 จะได้
dtdx
= ddx
a2 + x2
vi
⎛
⎝⎜
⎞
⎠⎟ +
ddx
b2 + (c − x)2
vt
⎛
⎝⎜
⎞
⎠⎟ = 0 (2.6)
ดังนั้น xvi a2 + x2
= c − xvt b2 + (c − x)2
(2.7)
จากภาพที ่2.6 จะได้ sinθi = xa2 + x2
และ sinθt = c − xb2 + (c − x)2
sinθivi
= sinθtvt
(2.8)
และจาก vi = c ni และ vt = c nt จะได้
ni sinθi = nt sinθt (2.9)
ภาพที ่3.6 การพิสูจน์กฎหักเหตามหลักของเฟอร์แมต
14
อาจารย ์ดร.ชีวะ ทัศนา ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี 2560
2.5 กระจกเงา
1 กระจกเงาราบภาพที่เกิดจากกระจกเงาราบ (flat mirror) เป็นภาพเสมือนหัวตั้งและขนาดของภาพ
จะเท่ากับขนาดของวัตถุเสมอ แต่ภาพที่ได้จะกลับด้านกลับวัตถุโดยจะกลับซ้ายเป็นขวาและ
ขวาเป็นซ้าย ภาพที่ 2.7 แสดงการเกิดภาพกระจกเงาราบ
(ก) (ข)
ภาพที่ 2.7 การเกิดภาพจากกระจกเงาราบ
ภาพที่ 2.7 (ก) แสดงภาพที่เกิดจากกระจกเงาราบ เมื่อรังสีจากวัตถุที่มีขนาดซึ่งอยู่ที่จุด S
สะท้อนที่กระจกเงาราบแล้วจะได้ ΔSNP ≅ Δ ′S NP โดยที่ระยะภาพ ′S N จะมีขนาดเท่ากับ SN
เนื่องจากรังสีสะท้อนด้านบนกระจกไม่ตัดกันจึงไม่สามารถใช้ฉากรับภาพได้ แต่ที่ขนาดด้านหลัง
กระจกเงาจะเสมือนมีแนวของรังสีไปตัดกัน ดังนั้นภาพที่ได้จึงเป็นภาพเสมือน และมีขนาดเท่ากับ
วัตถุเสมอ ดังภาพที ่ 2.7 (ข) เมื่อวางวัตถุห่างจากกระจกเงาในระยะที่แตกต่างกัน จะพบว่า
ระยะภาพที่เกิดด้านหลังกระจกเงาราบจะเท่ากับระยะวัตถุเสมอ
2 กระจกโค้งเราหาความสัมพันธ์ระหว่างระยะวัตถุ S และระยะภาพ ′S จากการสะท้อนที่ผิวโค้ง
(กระจกโค้งเว้าและกระจกโค้งนูน) ที่เป็นฟังก์ชันของรัศมีที่มีความโค้งของกระจก R ได้โดยประมาณอันดับหนึ่งค่าของค่าไซน์และโคไซน์ของมุมที่รังสีวัตถุ และรังสีภาพทำกับผิวโค้ง จากอนุกรมเทย์เลอร์
sin x = x − x3
3!+ x
5
5!− ... และ cos x = 1− x
2
2!+ x
4
4!− ... เมื่อพิจารณากรณ ี x ( x→ 0 )
มีค่าน้อยๆ จะได้ sin x ≈ x และ cos x ≈1 ดังนั้น
tan x ≈ sin x ≈ x (2.10)
15
อาจารย ์ดร.ชีวะ ทัศนา ภาควิชาฟิสิกส ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี 2560
ภาพที ่2.8 การสะท้อนที่ผิวโค้ง
จากภาพที่ 2.8 พิจารณาสามเหลี่ยมมุมฉาก ΔPIC จะได้
IC!P +CP!I + PI"C = 180#
ϕ +θ + (180! − ′α ) = 180!
θ = ′α −ϕ (2.11)
และจาก θ +OP!Q +QP!I + IP!C = 180"
θ + (90! −α )+ (90! − ′α ) = 180!
ดังนั้นจะได ้ 2θ = α+ ′α (2.12)
แทนสมการ (2.11) ลงในสมการ (2.12 ) จะได้
−2ϕ = α − ′α (2.13)
พิจารณามุมสามเหลี่ยม ΔOQP จะได้ α ≈ tanα ≈ − PQS
(2.14a)
16
อาจารย ์ดร.ชีวะ ทัศนา ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี 2560
พิจารณามุมสามเหลี่ยม ΔIPQ จะได ้ ′α ≈ tan ′α ≈ PQ′S
(2.14b)
พิจารณามุมสามเหลี่ยม ΔIPC จะได้ ϕ ≈ tanϕ ≈ PQR
(2.14c)
แทนสมการ (2.14) ลงในสมการ (2.13) จะได ้ −2 PQR
= − PQS
− PQ′S
หรือ
2R
= 1S+ 1
′S (2.15 )
เมื่อ R = 2 f จะได้ 1f
= 1S+ 1
′S (2.16)
ทั้งนี้การคำนวณโดยใช้สมการ (2.15) และ (2.16) นั้นเราจำเป็นต้องคำนึงถึงเครื่องหมายบวกและลบ
เป็นสำคัญ ดังตารางที่ 2.1
ตารางที่ 2.1 ชนิดของกระจกโค้ง เครื่องหมายในการคำนวณ และลักษณะของภาพ
ชนิดของ
กระจกโค้ง
ระยะวัตถุ S
ระยะภาพ ′S
รัศมี R โฟกัส f ลักษณะของภาพ
กระจกนูน + - - ภาพเสมือน หัวตั้ง
กระจกเว้า + +- + ภาพจริง หัวกลับ
ภาพเสมือน หัวตั้ง
17
อาจารย ์ดร.ชีวะ ทัศนา ภาควิชาฟิสิกส ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี 2560
2.6 เลนส์
การเกิดภาพจาดเลนส์บางเกิดได้ทังภาพจริงและภาพเสมือนขึ้นอยู่กับชนิดของเลนส์ว่าเป็น
เลนส์นูนหรือเลนส์เว้าและขึ้นอยู่กับระยะวัตถุว่าอยู่ห่างจากเลนส์นูนมากกว่าระยะโฟกัสหรือไม่
ทั้งนี้จะไม่กล่าวรายละเอียด เนื่องจากเรียนในวิชาฟิสิกส์ 2 และใช้สูตรที่ใช้ในการคำนวณก็เป็นไป
ตามสมการ (2.16) แต่อย่างไรก็ตาม จะแตกต่างกันตรงการกำหนดเครื่องหมาย ตามตารางที่ 2.2
ทั้งนี ้ ภาพที่เกิดอยู่ด้านหลังเลนส์จะเป็นภาพจริงหัวกลับ ในขณะที่ภาพที่อยู่ด้านเดียวกับวัตถุจะเป็น
ภาพเสมือนหัวตั้ง และการเกิดภาพจากเลนส์นูนขึ้นอยู่กับตำแหน่งหรือระยะห่างของวัตถุและความ
ยาวโฟกัสของเลนส์ สรุปได้ดังตารางที่ 2.2 ในขณะที่ภาพเกิดจากเลนส์เว้า ไม่ว่าจะวางวัตถุที่ระยะ
ห่างจากเลนส์เท่าใด จะพบว่า จะได้ภาพเสมือนขนาดเล็กกว่าวัตถุ และอยู่หน้าเลนส์เสมอ
ตารางที ่2.2 ชนิดของกระเลนส์บาง เครื่องหมายในการคำนวณ และลักษณะของภาพ
ชนิดของ
เลนส์บาง
ระยะวัตถุ S
ระยะภาพ ′S
รัศมี R โฟกัส f ลักษณะของภาพ
เลนส์นูน + +- + ภาพจริง หัวกลับ
ภาพเสมือน หัวตั้ง
เลนส์เว้า + - - ภาพเสมือน หัวตั้ง
ตารางที ่2.3 สรุปการเกิดภาพจากเลนส์นูน
ระยะวัตถุS
ระยะภาพ
′Sชนิดภาพ กำลังขยาย M
อนันต์ ∞ จุดโฟกัส f ภาพจริง หัวกลับ < 1
S > 2 f 2 f > ′S > f ภาพจริง หัวกลับ < 1
S = 2 f = R ′S = 2 f = R ภาพจริง หัวกลับ 1
2 f > S > f ′S > 2 f ภาพจริง หัวกลับ > 1
S = f อนันต์ ∞ - > 1
S < f ′S > f ภาพเสมือน หัวตั้ง > 1
18
อาจารย ์ดร.ชีวะ ทัศนา ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี 2560
กำลังขยาย ( magnification ;M ) คือ อัตราส่วนระหว่างระยะภาพ ′S ต่อระยะวัตถ ุS
หรืออัตราส่วนระหว่างความสูงของภาพ ′h ต่อความสูงของวัตถุ h
M = − ′SS
( 2.17)
ถ้า M <1 แล้วภาพจะมีขนาดเล็กกว่าวัตถุ
ถ้า M = 1 แล้วภาพและวัตถุมีขนาดเท่ากัน
ถ้า M >1 แล้วภาพมีขนาดใหญ่กว่าขนาดของวัตถุ
หรือ M = ′hh
( 2.18)
19
อาจารย ์ดร.ชีวะ ทัศนา ภาควิชาฟิสิกส ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี 2560
แบบฝึกหัดประจำบทที่ 2
1) จงพิสูจน์กฎการสะท้อน โดยใช้หลักการองเฟอร์แมต
2) จงแสดงที่มาของสมการ 1S+ 1
′S = 1
f โดยใช้เลนส์นูน
3)วัตถุอันหนึ่งมีความสูง 20 เซนติเมตร วางห่างจากเลนส์สามอัน A B และ C เรียงตามลำดับ ถ้า
เลนส์ A B และ C มีความยาวโฟกัสเป็น 10 15 และ 20 เซนติเมตร ตามลำดับ และเลนส ์ A
กับเลนส ์B วางห่างกัน 30เซนติเมตร และเลนส์ B กับเลนส์ C วางห่างกัน 20 เซนติเมตร แล้ว
จงหาระยะภาพที่เกิดจากเลนส ์ C เมื่อ
3.1) เลนส์ทั้งสามเป็นเลนส์นูน
3.2) เลนส์ A และเลนส์ C เป็นเลนส์นูน แต่เลนส ์B เป็นเลนส์เว้า
3.3) เลนส์ A และเลนส์ C เป็นเลนส์เว้า แต่เลนส ์B เป็นเลนส์นูน
20
อาจารย ์ดร.ชีวะ ทัศนา ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี 2560